วันจันทร์ที่ 6 มีนาคม พ.ศ. 2560

เทพฮีฟีสทัส (Hephaestus) เทพแห่งช่างและโลหะ
ฮีฟีสทัส (Hephaestus) หรือ วัลแคน เป็นเทพโอลิมเปียนผู้ครองการช่างโลหะ เทพองค์นี้มีประวัติความเป็นมาแตกต่างกันเป็น 2 นัย ดังว่าไว้ว่า นัยที่หนึ่ง กล่าวกันว่า ฮีฟีสทัสเป็นเทพบุตรของเจ้าแม่ฮีราและเทพปรินายกซูสโดยตรง ใรขณะที่อีกนัยหนึ่งกล่าวว่า ฮีฟีสทัสเกิดจากเจ้าแม่ฮีรา แต่เป็นการผุดออกมาจากเศียรของเจ้าแม่เพียงลำพังตนเอง คล้ายๆกับกรณีของเทวีเอเธน่า ทั้งนี้ก็เนื่องด้วยความต้องการของเจ้าแม่ฮีราที่ต้องการจะแก้ลำซูสในการกำเนิดของเทวีเอเธน่า เพื่อแสดงให้เทพทั้งหลายทราบว่า หากซูสสามารถให้กำเนิดเทวีเอเธน่าได้ เจ้าแม่ฮีร่าก็สามารถทำให้ฮีฟีสทัสเกิดเองได้เองเช่นกัน
แม้ว่าแหล่งกำเนิดของเทพฮีฟีสทัสจะเป็นอย่างไรก็ตาม ก็ต้องถือเอาว่าฮีฟีสทัสถือเป็นเทพบุตรของซุสด้วยเช่นกัน จะเห็นได้ว่า ฮีฟีสทัสติดและเข้ากับแม่ได้มากกว่าพ่อ และทุกครั้งที่พ่อกับแม่ทะเลาะกันตามประสาที่เทพซูสเจ้าชู้ หรือเจ้าแม่ฮีร่าขี้หึง ก็จะมีฮีฟีสทัสเข้าข้างฝ่ายแม่อยู่ตลอด ในครั้งหนึ่งที่ซูสต้องการจะลงโทษเจ้าแม่ฮีราให้เข็ดหลาบโดยการใช้โซ่ทองล่ามแขวนเจ้าแม่เอาไว้กับกิ่งฟ้าและห้อยโตงเตงลงมา ฮีฟีสทัสก็ทนดูไม่ได้และรีบเข้าช่วยแก้ไขโซ่ให้เจ้าแม่ทันทีเพื่อจะทำให้เจ้าแม่เป็นอิสระ ทำให้ซูสเกิดโมโหและบันดาลโทสะจับฮีฟีสทัสโยนลงมาจากสวรรค์ ซึ่งทำให้ฮีฟีสทัสต้องตกจากสวรรค์เป็นเวลานานถึง 9 วัน 9 คืน
ฮีฟีสทัสตกลงมาที่มนุษย์โลก ณ บริเวรเกาะเลมนอสในทะเลเอจีน และเพราะโดนบิดาขว้างลงมาจึงทำให้บาทของเธอแปเป๋ไปข้างหนึ่งและกลายเป็นคนพิการตั้งแต่บัดนั้นเป็นต้นมา เหตุเพราะเธอต้องการจะช่วยเหลือมารดานั่นเอง แต่ก็ไช่ว่าเจ้าแม่ฮีราผู้เป็นมารดาจะเหลียวแลเธอไม่ เพราะด้วยความที่ฮีฟีสทัสเป็นเทพบุตรที่กำเนิดขึ้นมาจากความโทมนัสอย่างแสนสาหัส ทำให้เจ้าแม่แสดงความเฉยเมยต่อฮีฟีสทัส ทำให้ฮีฟีสทัสตั้งปณิธานในจิตว่าจะไม่กลับขึ้นไปเหยียบบนเขาโอลิมปัสอีก และได้สร้างวังเพื่อเป็นที่ประทับอยู่ ณ เกาะเลมนอสแห่งนั้น พร้อมกัมได้ตั้งโรงหล่อเพื่อให้กำเนิดช่างฝีมือประกอบโลหะนานาชนิด โดยฮีฟีสทัสมีลูกมือเป็นพวกยักษ์ไซคลอปส์ อีกทั้งยังสร้างบัลลังก์ทองคำที่เปล่งปลั่งไปด้วยลวดลายที่สลักเสลาอย่างสวยงามหาที่เปรียบมิได้ขึ้นมาตัวหนึ่ง ซึ่งบัลลังก์แห่งนี้เป็นบัลลังก์กลที่ประกอบไปด้วยลานกลไกซ่อนอยู่ภายใน จากนั้นจึงได้ส่งบัลลังก์อันนี้ขึ้นไปถวายต่อเจ้าแม่ฮีรา เมื่อเจ้าแม่ได้เห็นก็รู้สึกยินดีในรูปลักษณ์อันแสนงดงามของบัลลังก์กลเป็นอย่างมาก และตระหนักได้ว่าเป็นบัลลังก์ที่บุตรของตนทำขึ้นถวาย เมื่อเจ้าแม่ฮีร่าขึ้นประทับบนบังลังก์ เครื่องกลไกที่แอบซ่อนอยู่ภายใต้บัลลังก์ก็ดีดกระหวัดรัดองค์เจ้าแม่จนแน่นตรึงติดกับบัลลังก์อย่างมั่นคง และทำให้เจ้าแม่ไม่สามารถขยับเขยื้อนองค์ได้เลยแม้แต่น้อย และแม้ว่าเทพทั้งปวงจะมาช่วยกันแก้ไขปัญหา ต่างก็พากันจนปัญญาเพราะยังไม่เห็นหนทางที่จะปลดเปลื้องพันธนาการครั้งนี้ให้หลุดออกได้เลย
ทำให้เฮอร์มีส เทพผู้มีลิ้นทูต ต้องเป็นเทพผู้อาสามาไกล่เกลี้ยความ เฮอร์มีสอ้อนวอนขอให้ฮีฟีสทัสช่วยขึ้นไปแก้ไขกลไกที่ฮีฟีสทัสทำไว้ แต่ ลิ้นทูตของเฮอร์มีสครั้งนี้ไม่สามารถใช้กับฮีฟีสทัสได้ เพราะไม่ว่าเธอจะหว่านล้อมฮีฟีสทัสด้วยคำไพเราะสักเพียงใด ก็ไม่อาจเปลี่ยนใจฮีฟีสทัสให้กลับขึ้นไปบนเขาโอลิมปัสได้เลย ทำให้ทวยเทพต้องร่วมประชุมปรึกษากันอีกครั้งหนึ่ง และเล็งเห็นตรงกันว่าคงจะมีเพียงเทพไดโอนิซัสท่านั้นที่น่าจะพอช่วยได้ เทพทั้งหลายจึงพร้อมใจกันส่งไดโอนิซัสลงมาเกลี้ยกล่อมเทพฮีฟีสทัสหลงกลด้วยอุบาย วิธีการที่ไดโอนิศัสใช้ก็คือ การมอมฮีฟีสทัสด้วยน้ำองุ่นจนทำให้ฮีฟีสทัสมึนเมา จากนั้นไดโอนิซัสก็ลอบพาฮีฟีสศัสขึ้นไปที่สวรรค์เพื่อกลับไปแก้เครื่องกลพันธนาการที่ทำไว้กับเจ้าแม่ฮีราได้จนสำเร็จ นอกจากนี้ เทพไดโอนิศัสยังช่วยไกล่เกลี่ยให้เทพีฮีร่าและเทพฮีฟีสทัสเข้าอกเข้าใจกันอีกครั้งด้วย
แม้ว่าฮีฟีสทัสจะได้รับการยกย่องเทียมเท่าเทพองค์อื่น ๆ ในคณะเทพโอลิมเปียน แต่ฮีฟีสทัสก็ยังไม่ยินยอมที่จะกลับขึ้นไปอยู่บนเขาโอลิมปัสอีกครั้ง แต่ฮีฟีสทัสจะขึ้นไปก็ต่อเมื่อมีการนัดประชุมเทพสภาเฉพาะกิจและในวาระอื่น ๆที่สำคัญเท่านั้น ส่วนในเวลาปกติ ฮีฟีสทัสจะเก็บตัวเองอยู่ในโรงหล่อ และหมกมุ่นกับงานช่างฝีมือของเธอตลอดเวลา ทำให้เทพฮีฟีสทัสเปรียบเป็นพระเวสสุกรรมของกรีกที่สำคัญองค์หนึ่ง เห็นได้จากการสร้างวังที่ประทับของเทพแต่ละองค์บนเขาโอลิมปัสนั้น ก็เป็นงานฝีมือของพนักงานของเทพฮีฟีสทัสแทบทั้งสิ้น อีกทั้ง เทพฮีฟีสทัสยังเป็นผู้ออกแบบตกแต่งตำหนักต่าง ๆภายในที่ประทับ โดยการใช้โลหะประดับมณีที่ดูแวววาวจับตาสวยงามเป็นที่สุด และเขาก็ได้ประกอบอสนีบาตเพื่อเป็นอาวุธถวายแก่ซูส รวมถึงเป็นผู้สร้างศรรักให้แก่อิรอสด้วย
กิจกรรมวันวิชาการ หนึ่งห้องเรียน หนึ่งธุรกิจ








วันอาทิตย์ที่ 5 มีนาคม พ.ศ. 2560

เทพแพน (Pan) เทพแห่งธรรมชาติ
ในบรรดาเทพทั้งหลายในวงศ์โอลิมเปี้ยน มีเทพอยู่องค์หนึ่งที่มีลักษณะไม่เหมือนกับทวยเทพองค์อื่นๆ เพราะเทพองค์นี้มีร่างกายที่เป็นกึ่งมนุษย์กึ่งสัตว์ เธอมีชื่อว่า เทพแพนนั่นเอง อย่างไรก็ตาม เทพองค์ดังกล่าวก็ยังได้รับการยอมรับว่าเป็นเทพองค์หนึ่งในสวรรค์ชั้นโอลิมปัส
แพน (Pan) เป็นเทพผู้เป็นหลานของซูสเทพบดี เพราะเธอเป็นโอรสของเทพเฮอร์มีส กับนางพรายน้ำตนหนึ่ง ว่ากันว่า แพนเป็นเทพแห่งทุ่งโล่งและดงทึบ หรืออาจเรียกว่าเป็น เทพแห่งธรรมชาติทั้งปวงก็ได้ นอกจากนี้ คำว่า แพนในภาษากรีกก็ยังมีความหมายว่า “All” ที่แปลถึงทั้งหลายหรือทั้งปวงนั่นเอง
หากกล่าวถึงรูปลักษณ์ของเทพองค์นี้ ก็พบว่ามีรูปร่างที่ผิดแปลกไปจากเทพองค์อื่น ๆ ที่มักจะมีรูปสวยสง่างาม  เทพแพนเป็นเทพที่มีลักษณะผสมระหว่างมนุษย์กับสัตว์ โดยเทพแพนมีร่างกายและหน้าตาที่เป็นมนุษย์ แต่อวัยวะท่อนล่างกลับเป็นแพะ อีกทั้งยังมีเขาปรากฎอยู่บนศีรษะและมีหนวดเคราเช่นแพะด้วย
ตำนานเล่าเกี่ยวกับประวัติของเทพแพนไว้น่าสนใจยิ่ง กล่าวคือ เมื่อครั้งหนึ่งที่แพนได้ไปพบเห็นนางพรายน้ำตนหนึ่งที่มีชื่อว่า ไซรินซ์ (Syrinx) เข้า แพนก็เกิดความรู้สึกถูกชะตาและถูกใจเป็นอย่างมาก แพนจึงติดตามพรายน้ำตนนั้นไปด้วยความรัก แต่นางพรายน้ำตนนั้นกลับไม่ยินดีที่จะร่วมรักด้วย เนื่องจากเกรงกลัวในรูปร่างแปลกประหลาดของเทพแพน นางพรายน้ำจึงวิ่งหนีเตลิดไป แพนก็เองก็ยังไม่ลดละความพยายาม และออกไล่ตามหานางพรายน้ำจนมาถึงริมน้ำ เมื่อนางพรายน้ำเห็นว่าน่าจะหนีเทพแพนไม่พ้น จึงได้ตะโกนออกไปเพื่อขอความช่วยเหลือจากเทพแห่งท้องธาร
คำร้องของนางพรายน้ำสัมฤทธิ์ผล เพราะเทพแห่งท้องธารรู้สึกสงสารในตัวนาง จึงได้ดลบันดาลให้นางพรายน้ำกลายเป็นต้นอ้อที่ประดับอยู่ ณ ริมฝั่งน้ำ เมื่อเทพแพนมาถึงที่บริเวณนี้และได้รู้ความจริงว่านางพรายน้ำคิดจะปฏิเสธตนเช่นนี้ ก็รู้สึกโศกเศร้าเป็นหนักหนา เทพแพนจึงได้ตัดเอาต้นอ้อต้นนั้น มามัดเข้าด้วยกัน และใช้เป็นเครื่องดนตรีเพื่อเป่าบรรเลงอย่างไพเราะสืบมา

ตำนานแวมไพร์

 

           ตำนานแวมไพร์ ผีดิดูดเลือดซึ่งได้เล่าต่อกันมาอย่างยาวนาน
    เรื่องราวของแวมไพร์ เป็นเรื่องราวที่มีการบอกเล่าต่อกันมานานหลายร้อยปี และปรากฏอยู่ในตำนานของหลายประเทศทั่วโลก มีลักษณะแตกต่างกันไปในแต่ละพื้นที่ เช่น แวมไพร์ตามตำนานเม็กซิโกจะมีกระโหลกมนุษย์วางอยู่บนศีรษะ แวมไพร์แถบเทือกเขาร็อกกี้จะดูดเลือดทางจมูก แวมไพร์ตามตำนานโรมาเนียจะมีร่างกายผอมซีดและไว้เล็บยาว เป็นต้น 
          1. แวมไพร์เป็นผีดิบในร่างของมนุษย์ มีฟันแหลมคม ดื่มเลือดมนุษย์เป็นอาหารเพื่อหล่อเลี้ยงให้มีชีวิตเป็นอมตะ ไม่มีวันตาย
          2. แวมไพร์ถูกนำมาเปรียบเทียบเป็นมนุษย์ค้างคาวผีดิบ เนื่องจากแวมไพร์หากินกลางคืนต่างจากสัตว์ชนิดอื่น ดังนั้น เมื่อกล่าวถึงแวมไพร์ ก็มักจะนึกถึงผีดิบผิวซีดในชุดสีดำคล้ายค้างคาว
          3. ในตอนกลางวันแวมไพร์จะนอนนิ่งอยู่ในโลงศพ ในสภาพที่ตาข้างหนึ่งเปิดอยู่ มีเลือดติดอยู่ตามปากหรือจมูก
          4. ในตอนกลางคืนแวมไพร์จะออกหาเหยื่อ เพื่อดูดเลือดบริเวณคอของเหยื่อ โดยเหยื่อมักจะเป็นเพศตรงข้ามเสมอ
          5. แวมไพร์ ถ่ายทอดเชื้อสายด้วยการกัด แต่ผู้ที่ถูกกัดทุกคนอาจเสียชีวิตและไม่ได้ถูกปลุกขึ้นมาเป็นแวมไพร์ตัวใหม่ก็ได้
          6. ศพของแวมไพร์จะไม่เน่าเปื่อย ไม่ว่าเวลาจะผ่านไปนานเพียงใด ใบหน้าจะยังดูมีเลือดไหลเวียนอยู่ตลอดเวลา เพราะได้เลือดของเหยื่อหล่อเลี้ยงไว้
          7. แวมไพร์ สามารถสยบได้ด้วยกระเทียม ซึ่งเป็นพืชที่มีกลิ่นฉุนมาก หรือไม้กางเขน และน้ำมนต์
       ในแถบประเทศตะวันตก แวมไพร์ เริ่มเป็นที่รู้จักครั้งแรกในประเทศอังกฤษ หลังจากมีการบันทึกในประวัติศาสตร์ว่า อาร์โนลด์ เปาเล ชาวเซอร์เบีย เป็นผู้ที่ได้รับการสืบเชื้อสายจากแวมไพร์ หลังจากที่เขากลับมาจากการปฏิบัติหน้าที่ทางการทหารในกรีซ และเขาก็ได้สารภาพกับภรรยาว่าถูกแวมไพร์ดูดเลือดและได้รับการถ่ายทอดเป็นแวมไพร์ ต่อมาไม่นานเขาได้เสียชีวิตลง แต่คนในหมู่บ้านยังเห็นเขาวนเวียนอยู่ในหมู่บ้านในยามค่ำคืน จึงมีการขุดเอาศพเขาขึ้นมาดูอีกครั้ง และพบว่า เขานอนนิ่งเป็นศพแต่กลับมีรอยเลือดติดอยู่ที่ปากของเขา ชาวบ้านจึงพิสูจน์ด้วยการตอกหมุดลงไปที่หัวใจ ปรากฎว่ามีเลือดไหลทะลักออกมาตามด้วยเสียงกรีดร้อง จากนั้นศพของเขาก็ถูกนำไปเผาและก็ไม่มีใครพบเขาปรากฎตัวในหมู่บ้านอีกเลยหลังจากนั้น แต่ต่อมาไม่นาน ก็พบแวมไพร์อีกหลายตัวอยู่ในหมู่บ้าน จึงเชื่อว่าแวมไพร์เหล่านั้นเป็นเชื้อสายของเปาเล และพวกเขาก็คงถูกเปาเลกัด ซึ่งพ้องกับสิ่งที่เปาเลได้เคยบอกภรรยาไว้ก่อนตาย


    แวมไพร์ที่มีชื่อเสียงมากที่สุดคือของหลักสูตรแดรกคิวลาแม้ว่าผู้ที่มองหาทางประวัติศาสตร์ "ของจริง" แดรกคิวลามักจะอ้างเจ้าชายโรมาเนีย Vlad Tepes (1431-1476) หลังจากที่ช่างไฟบอกว่าจะมีการสร้างแบบจำลองลักษณะบางอย่างของตัวละครของเขาแดรกคิวลา ลักษณะของ Tepes เป็นแวมไพร์ แต่เป็นตะวันตกอย่างเห็นได้ชัดหนึ่ง ในโรมาเนียเขาถูกมองว่าไม่เป็นซาดิสม์เลือดดื่ม แต่เป็นวีรบุรุษของชาติที่ปกป้องอาณาจักรของเขาจากออตโตมันเติร์ก


แวมไพร์คนส่วนใหญ่มีความคุ้นเคยกับ (เช่น Dracula) จะทรงฤทธิ์ - ศพของมนุษย์ที่จะกล่าวว่าจะกลับมาจากหลุมฝังศพจะเป็นอันตรายต่อการดำรงชีวิตแวมไพร์เหล่านี้มีต้นกำเนิดสลาฟเก่าเพียงไม่กี่ร้อยปี แต่อื่น  เก่ารุ่นของแวมไพร์ที่ไม่ได้คิดว่าจะเป็นมนุษย์ที่ทุกคน แต่เหนือธรรมชาติแทนอาจจะเป็นปีศาจหน่วยงานที่ไม่ได้ใช้รูปแบบของมนุษย์แมทธิว Beresford ผู้เขียน "จากปีศาจที่จะ Dracula: การสร้างโมเดิร์นแวมไพร์ตำนาน" (Reaktion 2008)บันทึก, "มีรากฐานที่ชัดเจนสำหรับแวมไพร์ในโลกโบราณที่มีและมันเป็นไปไม่ได้ที่จะพิสูจน์เมื่อตำนานแรก เกิดขึ้นมีข้อเสนอแนะว่าแวมไพร์เกิดออกมาจากเวทมนตร์ในอียิปต์โบราณเรียกปีศาจในโลกนี้จากบางส่วนอื่น  . " มีหลายรูปแบบของแวมไพร์จากทั่วโลก มีแวมไพร์เอเชียเช่นจีน Jiangshi (ออกเสียงจงชีวิญญาณชั่วร้ายที่โจมตีคนและท่อระบายน้ำพลังงานชีวิตของพวกเขาเลือดดื่มเทพโมโหที่ปรากฏใน "หนังสือทิเบตแห่งความตายและอื่น  อีกมากมาย
กีฬาสี โรงเรียนตราดสรรเสริญวิทยาคม
พิธีเปิดงานกีฬาสี รร ตราดสรรเสริญวิทยาคม โดยมีผู้อำนวยการเป็นผู้กล่าวเปิดงาน

แปลอักษรของโรงเรียน ถวายความอาลัยในหลวงรัชกาลที่๙
มีการแข่งขันกีฬาหลายประเภทเช่น ฟุตบอลหญิง ฟุตบอลชาย วอลเล่บอลหญิง วอลเล่บอลชาย บาสเกตบอล เป็นต้น และยังมีกีฬาพื้นบ้าน เช่น ชักกะเย่อ วิ่งกระสอบ เป็นต้น
เทพซีอุส (Zeus)
เทพแห่งเทพผู้ปกครองเทพทั้งหมด

    ตำนานกล่าวไว้ว่า เทพซีอุส เป็นบุตรคนสุดท้องของเทพ Cronos ผู้แข็งแกร่ง เมื่อตอนที่เทพ Cronos ต่อสู้กับ Uranus จนสามารถเอาชนะเทพผู้นี้ได้ ทำให้เทพซีอุสจำเป็นต้องสังหารเทพ Cronos ส่วน Rhea ผู้เป็นภรรยาของเทพ Cronos ก็ไว้ใจ Gaia ให้มาทำหน้าที่คอยปกป้องดูแลเขา ในขณะที่เทพ Cronos กำลังจะกลืนกินลูกของเธอทีละคนๆ ซึ่งเธอก็ได้ปกป้องเทพซีอุส ซึ่งเป็นลูกคนสุดท้องไว้ได้ และได้ส่งเขาให้ไปอาศัยอยู่กับนางไม้ Adrasteia และ Ida เทพซีอุสโดตมาด้วยการเลี้ยงดูด้วยนมแพะ Amaltheia
    เมื่อเทพซีอุส ก็ได้กลับมาต่อสู้กับพ่อตัวเอง โดยเขาได้รับการช่วยเหลือจาก Gaia อย่างดี จนทำให้เขาค่อยสำรอกเอาลูกๆ ที่เคยกลืนกินออกมาทีละคนๆ ซึ่งตอนนั้นพวกเขาก็ล้วนเติบโตขึ้นเป็นเทพ และเทพีแห่งโอลิมปัสกันแล้ว
ระหว่างการต่อสู้ของเทพซีอุสกับเทพ Cronos และ Titans ฝ่ายเทพซีอุสได้รับชนะ และได้กลายเป็นเจ้าแห่งเทพเจ้าในทันที ส่วนเทพ Cronos กับบรรดา Titan ของเขาต่าง ก็ถูกลงทัณฑ์โดยการกักขังเอาไว้ใน Tarturos แต่ Gaia ก็เกิดความไม่พอใจที่เทพซีอุสกล้ามาทำร้ายบรรดาไททันที่เป็นลูกของเธอ เธอจึงออกคำสั่งให้ Giants และ Typhon ออกไปต่อสู้กับเทพซีอุส แต่สุดท้ายก็ไม่สามารถทัดทานฝีมือของเขาได้ นับจากนั้นเป็นต้นมา Gaia จึงได้ยอมรับว่า เทพซีอุสถือเป็นเจ้าแห่งเทพเจ้าและมนุษย์อย่างเต็มตัว
    เทพซีอุส มีมเหสีชื่อว่า Hera และมีลูกๆออกมาทั้งหมด 4 คน ได้แก่ Ares (เทพเจ้าแห่งสงคราม) Eilethyia (เทพีแห่งการเกิด) Hebe (เทพีแห่งความเยาว์วัย) Hephaestus (เทพเจ้าแห่งงานช่าง) นอกจากนั้น เทพซีอุสยังมีความสัมพันธ์อันแสนลึกซึ้งกับเทพีองค์อื่นๆอีกมากมายหลายองค์
ตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน ชาวกรีซต่างให้การนับถือเทพซีอุส เป็นอย่างมาก เพราะเทพองค์นี้มีความสามารถเป็นที่สุด ส่วนชาวโรมันก็ได้มีการสร้างอนุสรณ์สถานเพื่อบูชาเทพซีอุส โดยมีชื่อว่า  Jupiter หรือ Jore มากไปกว่านั้น  ศิลปะสมัยโบราณมากมาย ก็มักจะมีการจารึกภาพวาดของเทพผู้นี้ในรูปร่างของชายหนุ่มที่มีร่างกายบึกบึน มีหนวดเครายาวรุงรัง และถือดาบสายฟ้าไว้ในมือ
   ส่วนสัตว์ที่คอยตามอารักขาก็มีหลากหลายชนิด เช่น นกอินทรีย์วัว และหงส์ อีกทั้งยังมีรูปปั้นทองคำของเทพซีอุสที่มีการประดับด้วยงาช้างไว้อย่างสวยสดงดงามด้วย ซึ่งผลงานชิ้นนี้เป็นผลงานแกะสลักของ Pheidias ที่ขึ้นชื่อว่าเป็นปฏิมากรชื่อดัง และถูกนำไปตั้งอยู่ในบริเวณวัดที่โอลิมปัส  และถึงแม้ว่ารูปปั้นรูปนี้จะไม่ได้ถูกจารึกเอาไว้ในประวัติศาสตร์ แต่ครั้งหนึ่งก็ถือว่าเคยเป็นหนึ่งในเจ็ดของสิ่งมหัศจรรย์ของโลกเช่นกัน
เทพอานูบิส (Anubis)
เทพแห่งความตายของชาวอียิปต์
อานูบิส (Anubisเป็นหนึ่งในเทพเจ้าของชาวอียิปต์ ซึ่งเทพเจ้าองค์นี้มีบทบาทสำคัญต่อการใช้ชีวิตของชาวอียิปต์อย่างยิ่ง ที่เป็นเช่นนี้เนื่องจาก อานูบิสเป็นเทพแห่งความตาย และเป็นเทพสำคัญในการทำมัมมี่ ในพิธีการทำศพของชาวอียิปต์โบราณ และโลกหลังความตายของมนุษย์ จึงมีเทพองค์นี้ประกอบอยู่ในเรื่องราวและมีส่วนเกี่ยวข้องเป็นอย่างมาก
     การนับถือเทพอานูบิสมีที่มาจากเมือง อาบิโดส (Abydos)ที่อยู่ทางตอนเหนือของอียิปต์แต่มีศูนย์กลางของความเชื่อดังกล่าวนี้อยู่ที่เมืองไซโนโปลิส (Cynopolis) ที่ตั้งอยู่ในอียิปต์ตอนเหนือ
เชื่อกันว่า พิธีกรรมการนับถือเทพอานูบิสมีมาอย่างยาวนานมากแล้ว และมีการสร้างรูปปั้นหมาในสีดำหรือสีทอง ขึ้นเพื่อเป็นตัวแทนของเทพองค์นี้อยู่บ้างด้วย ลักษณะของเทพอานูบิสเป็นเทพที่มีลำตัวเป็นมนุษย์ แต่มีส่วนศีรษะไปจนถึงคอเป็นหมาในสีดำ ซึ่งสันนิษฐานได้ว่าการที่ลักษณะของเทพอานูบิสมีใบหน้าเป็นหมาใน ก็เพราะสัตว์ชนิดนี้มักจะหากินในช่วงกลางคืน และพบได้บ่อยแถวๆสุสานของคนตาย ด้วยเหตุนี้ เทพอานูบิสจึงถูกชาวอียิปต์นับถือกันในนามเทพผู้พิทักษ์คนตายและสุสานนั่นเอง ส่วนอาวุธในมือของเทพอานูบิส เป็นคทา คนบางคนอาจเรียกเทพองค์นี้ว่า อันปุ (Anpu)

    เทพอานูบิสมีหน้าที่หลัก คือ การนำดวงวิญญาณของคนตายไปสู่ยมโลกทั้งนี้ก็เพื่อให้วิญญาณผู้นั้นได้รับผลกรรมที่ตนได้ทำเอาไว้ก่อนตาย ต่อหน้าองค์เทพโอซิริส (Osiris) โดยการตัดสินจะทำโดยเทพอานูบิสจะวางหัวใจของผู้ตายเอาไว้บนตาชั่งข้างหนึ่งและวางขนนกได้รับมาจากเทพมูอาท (Muat) เอาไว้ที่ตาชั่งข้างหนึ่ง หากหัวใจของผู้ตายมีน้ำหนักเบากว่าขนนก แสดงว่าผู้ตายเคยทำกรรมอันเป็นกุศลไว้มาตั้งแต่ตอนที่คนผู้นั้นยังมีชีวิตอยู่ ซึ่งสมควรที่จะได้รับพรให้มีชีวิตเป็นนิรันดร์จากเทพโอชิริส และเดินทางไปอยู่ในสถานที่ที่เรียกว่า Fields of the Reed” หรือสวรรค์ของชาวอียิปต์นั่นเองในทางตรงกันข้าม คนที่มีน้ำหนักของหัวใจมากกว่าขนนกก็จะถูกสัตว์ที่เป็นอสูรที่มีนามว่า อัมมุท (Ammut) กลืนกินหัวใจของดวงวิญญาณดวงนั้นเข้าไปทันที ทำให้ดวงวิญญาณดวงนั้นสูญสลายหายไปตลอดกาล และถือว่าเป็นการตายแบบถาวรที่ไม่สามารถฟื้นคืนชีพได้
ตำนานยมทูต (Psycho Pomp)
ยมทูต หรือ Psychopomps มาจากรากศัพท์ภาษากรีกว่า “ψυχοπομπός” (psychopompos) ที่มีความหมายว่า “ผู้นำวิญญาณ” ยมทูตจึงเป็นจินตสัตว์ (creature), สิ่งที่มีจิตวิญญาณ (spiritual being), ผู้ศักดิ์สิทธิ์ หรือเทวดา  ในหลายๆศาสนา มีความเชื่อตรงกันว่า หน้าที่ของยมทูต คือ การนำพาเอาดวงวิญญาณของบุคคลที่เพิ่งสิ้นชีวิต ไปสู่ดินแดนหลังความตาย (afterlife) แต่ยมทูตไม่ได้มีหน้าที่ที่เกี่ยวข้องกับการตัดสินความถูกผิดของผู้ตาย พวกเขาจะทำหน้าที่เพียงเป็นผูนำทางวิญญาณเพื่อความปลอดภัยเพียงอย่างเดียวเท่านั้น
ยมทูตมักถูกนำมาเป็นส่วนประกอบในศิลปะหลายด้านที่เกี่ยวข้องกับชีวิตหลังความตาย แต่จะมีความแตกต่างกันออกไปตามแต่ประเพณีและวัฒนธรรม บางครั้งก็มีความเกี่ยวข้องกับสัตว์หลายชนิด เช่น ม้ากาสุนัขนกฮูกนกกระจอก หรือกวาง เป็นต้น
คาร์ล ยุง กล่าววิเคราะห์ตามหลักจิตวิทยาว่า ยมทูตคือตัวกลางระหว่างจิตใต้สำนึกและจิตสำนึก โดยบุคลาธิษฐานของยมทูตในฝันจะเป็นนักปราชญ์ สตรี หรือในบางครั้งก็เป็นสัตว์ที่เต็มไปด้วยความกรุณา ในบางวัฒนธรรม ชาแมนจะทำหน้าที่เป็นผู้นำวิญญาณ และอาจจะรวมถึงการนำเอาวิญญาณของผู้ตาย หรือผู้เสียชีวิตไปกำเนิด

อีกหนึ่งหน้าที่ของผู้นำวิญญาณ คือ การนำวิญญาณของเด็กเกิดใหม่ให้เข้ามาในโลก  เป็นการขยายความในชื่อ “หมอตำแยแก่ผู้กำลังจะสิ้นใจ” (midwife to the dying)
ผีไม่มีหน้า (Noppera Bou)
    ผีไม่มีหน้า (ญี่ปุ่น: のっぺらぼう Noppera Bou?) บางครั้งก็เรียกผีตนนี้ว่า “มุจินะ” (ญี่ปุ่น: ムジナ Mujina ?เป็นผีสัญชาติญี่ปุ่นที่มีลักษณะเด่นกว่าผีทั่วไปตรงที่ไม่มีใบหน้า มักเห็นผีพวกนี้มีแต่หน้าเกลี้ยงๆ แต่ไม่มีตา จมูก ปาก บนใบหน้าเลย ผีตนนี้จะมักเที่ยวหลอกหลอนคนที่ผ่านไปผ่านมาในเวลากลางคืนอยู่เสมอ โดยกลายเป็นตำนานที่เล่าขานในจังหวัดอิวาเตะ ประเทศญี่ปุ่น และเป็นตำนาน
   ตำนานเล่าขานว่าผีไม่มีหน้าเกิดขึ้นที่เนินทางแห่งหนึ่งในจังหวัดอิวาเตะ ในช่วงกลางดึกวันหนึ่ง มีชายคนหนึ่งได้เดินทางผ่านบริเวณดังกล่าวเพื่อที่จะเข้าไปในเมือง แต่ระหว่างทางได้พบกับหญิงสาวที่สวมชุดญี่ปุ่นคนหนึ่ง เธอกำลังร้องไห้ และทำทีท่าราวกับกำลังจะกระโดดแม่น้ำฆ่าตัวตาย ชายคนดังกล่าวจึงเดินเข้าไปเพื่อที่จะไปกอดและปลอบใจเธอ และก็ต้องตกใจเมื่อพบว่าหญิงสาวมีใบหน้าที่เกลี้ยงเหมือนไข่ปลอก และปราศจากอวัยวะบนใบหน้า ชายคนนั้นจึงรีบวิ่งหนีไปอย่างรวดเร็ว
   จนกระทั่งเขาได้มาหยุดที่ร้านบะหมี่แห่งหนึ่ง เจ้าของร้านเห็นชายผู้นั้นวิ่งหนีบางอย่างมา จึงได้ถามว่าไปเจออะไรมา ชายคนนั้นตอบว่าเจอผีไม่มีหน้า เจ้าของร้านบะหมี่จึงถามว่า “มีลักษณะเป็นแบบนี้ใช่ไหม?” จากนั้นก็เอามือลูบหน้าจนใบหน้าหายไปกลายเป็นผีไม่มีหน้าอีกตน ชายคนนั้นตกใจเป็นอย่างมากและวิ่งรีบวิ่งหนีออกจากร้านบะหมี่ไป
ตำนานยูนิคอร์น (Unicorn)
         ยูนิคอร์น (Unicorn) เป็นหนึ่งในสัตว์ในตำนานที่พบได้ในป่าทางตอนเหนือของทวีปยุโรป ลักษณะตัวโตเต็มวัยของยูนิคอร์นจะมีเป็นม้าที่มีสีขาวบริสุทธิ์ มีสง่า มีเขาเกลียวที่กลางหน้าผากหนึ่งเขา  ส่วนยูนิคอร์นแรกเกิดจะมีลักษณะเป็นลูกม้าที่ขนสีทอง เส้นขนจะเปลี่ยนเป็นสีเงินในช่วงก่อนที่จะเจริญเติบโตเต็มวัย เชื่อวันว่าส่วนของ เขา เลือด และขนยูนิคอร์น เป็นที่ต้องการของมนุษย์เป็นอย่างมาก เนื่องจากมีคุณสมบัติทางเวทมนตร์สูง
โดยทั่วไป ยูนิคอร์นจะพยายามไม่ยุ่งเกี่ยวกับมนุษย์ แต่จะยอมให้แม่มดที่เป็นเพศหญิงเข้าใกล้ได้มากกว่าพ่อมดที่เป็นเพศชาย ยูนิคอร์นเป็นสัตวฺที่ว่องไว วิ่งได้อย่างรวดเร็ว และยากต่อการจับตัว ชาวตะวันตกเชื่อกันว่า ยูนิคอร์นเป็นสัตว์ที่ดุร้ายและรักความสันโดษ หากต้องการจะจับยูนิคอร์น ชาวยุโรปกล่าวไว้ว่าจะต้องใช้หญิงสาวพรหมจรรย์ที่ยังบริสุทธ์เท่านั้นในการจับยูนิคอร์น ซึ่งจะทำให้ยูนิคอร์นสงบสงี่ยมและเชื่องอย่างกับเป็นม้าธรรมดา และลืมสัญชาตญาณความป่าเถื่อนในการเป็นสัตว์ป่าไปเลย
      ยูนิคอร์นถูกกล่าวถึงครั้งแรกในโลกตะวันตกเมื่อประมาณ พ.ศ. 14 โดยหนังสือของชาวอินเดีย ซึ่งแต่งโดยนักประวัติศาสตร์ชาวกรีก หนังสือมีเนื้อความตอนหนึ่งว่า ในประเทศอินเดีย มีลาป่าชนิดหนึ่งซึ่งมีขนาดรูปร่างใหญ่พอ ๆ กับม้า แต่ลำตัวของพวกมันมีสีขาว ศีรษะสีแดงเข้ม ดวงตาสีน้ำเงิน และมีเขากลางหน้าผากหนึ่งเขา เขานี้ยาวประมาณครึ่งเมตร” อีกทั้งยังกล่าวกันด้วยว่า ยูนิคอร์น เป็นสัตว์ที่ผสมระหว่างสัตว์หลายชนิด ได้แก่ แรด ละมั่งหิมาลัย และลาป่า เขาของยูนิคอร์นแหลมคมเป็นอย่างมาก โดยจะมีพื้นสีขาวตรงกลางสีดำ และมียอดเป็นสีแดงเลือดหมู
     ยูนิคอร์น ถูกสร้างความหมายเพื่อบ่งบอกถึงสิ่งต่างๆมากมาย เขาของยูนิคอร์นถือเป็นสัญลักษณ์แห่งพลังอำนาจ ความเข้มแข็ง และความเป็นลูกผู้ชาย ในขณะที่บางตำนาน ก็กล่าวถึงยูนิคอร์นว่าเป็นสัญลักษณ์แห่งความสะอาดบริสุทธิ์  ส่วนบางตำนานก็เชื่อว่า ยูนิคอร์นเป็นสัญลักษณ์ที่เชื่อมโยงระหว่างเพศหญิงและเพศชาย โดยเขาจะเป็นตัวแทนของเพศชาย ส่วนลำตัวจะเป็นตัวแทนของเพศหญิง ชื่อทางภาษาจีนของยูนิคอร์น จึงมีชื่อว่า ki-lin ซึ่งมีความหมายว่า ผู้ชาย-ผู้หญิง นั่นเอง
ตำนานกิเลน
    กิเลน (Qilin, Kylin หรือ Kirin)  เป็นชื่อภาษาจีนที่ใช้เรียกสัตว์ในเทพนิยายของจีน โดยหากแยกคำตามความหมายแล้ว “กี” จะใช้ในการเรียกตัวผู้ ส่วน “เลน” จะใช้ในการเรียกตัวเมีย เมื่อผสมคำเป็น “กิเลน” จึงมีความหมายตามตำนานจีนว่า สัตว์ที่มีรูปร่างเหมือนกวางแต่มีเพียงแค่เขาเดียว หางคล้ายวัว หัวเหมือนมังกร ตีนเป็นกีบเหมือนม้า (บางตำรากล่าวว่า มีลำตัวเป็นสุนัข หรือบ้างก็ว่าเป็นเนื้อสมัน) สัตว์ชนิดนี้เกิดจากธาตุทั้งห้ามาผสมกันได้แก่ ดิน น้ำ ไฟ ไม้ และโลหะ
     กิเลนเชื่อกันว่ามีอายุยืนได้ถึงพันปี และเป็นสัตว์แห่งยอดสัตว์ทั้งหลาย อีกทั้ง กิเลนยังเป็นสัตว์ที่มีความหมายแห่งความดีงาม เมื่อใดที่กิเลนปรากฏกายขึ้นมา จะแสดงให้เห็นว่า ในขณะนั้นกำลังจะมีผู้มีบุญมาเกิดเพื่อขึ้นปกครองบ้านเมืองให้มีแต่ความร่มเย็นเป็นสุข กิเลนจึงถือเป็นหนึ่งในสี่สัตว์ศักดิ์สิทธิ์ ที่ประกอบไปด้วย หงส์ เต่า มังกร และกิเลน (บ้างว่าเป็น เสือ)
    ความเชื่อเรื่องการกำเนิดโลกของจีนในยุคของฟูซี (伏羲นั้น กล่าวไว้ว่า ฟูซี เป็นผู้ปกครองคนแรกของชนเผ่ามนุษย์ ท่านได้สังเกตถึงปรากฏการณ์ธรรมชาติต่างๆ จนสามารถอยู่ได้ด้วยตนเองได้ แต่แล้ววันหนึ่ง ก็เกิดมีกิเลนตัวหนึ่ง ปรากฎกายขึ้นมาจากแม่น้ำหวงโฮ ที่บนหลังสัตว์ตัวนี้มีสัญลักษณ์แผนที่เหอประทับอยู่ด้วย ในต่อมาภายหลัง สัญลักษณ์นี้ก็ได้กลายมาเป็นตัวอักษรต่อมา ภายหลังจากนั้น องค์ความรู้ของมนุษย์ก็ได้ถือกำเนิดขึ้นและเจริญสืบทอดต่อมา
ส่วนตำนานของคนไทย ก็รู้จักกิเลนของจีนมาเนิ่นนานแล้ว จากข้อมูลในสมุดภาพที่บ่งบอกข้อมูลสัตว์ป่าหิมพานต์ที่นายช่างโบราณได้เคยร่างแบบเอาไว้สำหรับผูกหุ่น ส่วนพิธีแห่พระบรมศพของรัชกาลที่ 3 ก็มีกระบวนที่มีรูปของกิเลนจีนหนวดยาว ๆ ส่วนรูปกิเลนแบบไทยจะมีกนกและเครื่องประดับทรงเครื่องแบบไทยๆจัดลายประกอบไว้ด้วย ซึ่งลักษณะอาจผิดแปลกไปจากในสมุดภาพสัตว์โบราณจากป่าหิมพานต์ไปบ้าง แต่ลักษณะที่ผิดแปลกไปอย่างหนึ่ง ก็คือ กิเลนของไทยจะมีเขาสองเขา แต่ของจีนจะมีเพียงเขาเดียว ส่วนในวรรณคดีเรื่องพระอภัยมณีก็มีการกล่าวถึงสัตว์ประหลาดที่ลักษณะคล้ายกิเลนเช่นกัน รู้ที่คนไทยรู้จักกันในนามของ ม้ามังกร หรือ ม้านิลมังกร นั่นเอง
แม้แต่ปัจจุบัน ก็มีการใช้กิเลนมาเป็นฉายาของทีมสโมสรฟุตบอลไทย โดยทีมฟุตบอลเมืองทองยูไนเต็ด มีฉายาว่า “กิเลนผยอง” และยังใช้สัญลักษณ์ของกิเลนเป็นส่วนหนึ่งของทีมด้วย
ตำนานเวตาล
   เป็นอมนุษย์ที่มีลักษณะคล้ายค้างคาวผี ตามความเชื่อในนิทานปรัมปราของศาสนาฮินดู กล่าวกันว่า ในตอนกลางวัน เวตาลจะมีชีวิตอยู่ในซากศพของผู้อื่น และศพเหล่านี้จะถูกเวตาลใช้เป็นเครื่องมือในการเดินทาง หากเวตาลเข้าไปอาศัยร่างของศพใด  ซากศพนั้นก็จะไม่เน่าเหม็น ส่วนตอนกลางคืน เวตาลจะออกมาจากศพเพื่อออกหากิน  แต่หากค้นหาความหมายของคำว่า เวตาล ในพจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ. 2542 จะพบความหมายว่า เวตาล คือ ผีที่ชอบสิงสถิตอยู่ในป่าช้า
   ชาวฮินดูมีความเชื่อว่าตามตำนานว่า เวตาลเป็นผีร้ายที่ไม่ยอมไปเกิด แต่ยังคงอาศัยอยู่ตามสุสาน เพื่อเข้าสิงร่างซากศพในบริเวณนั้น เวตาลชอบที่จะทำร้ายมนุษย์ที่เข้าไปรบกวน ทำให้มนุษย์กลายเป็นคนบ้า ฆ่าเด็ก และทำแท้งลูก ส่วนเหยื่อที่เวตาลเข้าสิงจะมีมือและเท้าหันกลับด้านไปข้างหลังเสมอ ส่วนข้อดีที่มีเพียงน้อยนิด ก็คือ เวตาลสามารถช่วยเฝ้าดูแลหมู่บ้านของมันได้
   เนื่องด้วยความร้ายกาจของเวตาล เวตาลจึงมักคอยทำร้ายบุคคลที่ลูกหลานไม่ยอมทำพิธีศพให้ ทำให้พวกเขาถูกกักขังอยู่ในแดนสนธยาทั้งในช่วงที่ยังมีชีวิต และหลังจากเสียชีวิตไปแล้ว เวตาลอาจได้รับครื่องเซ่นเป็นอามิส หรือถูกบังคับให้ตื่นตกใจด้วยเวทมนตร์ ปีศาจเหล่านี้จะพ้นจากความเป็นปิศาจได้ก็ต่อเมื่อมีการทำพิธีศพให้แก่ตนเอง แต่หากกลายร่างเป็นปิศาจแล้ว ก็ไม่อาจหลุดพ้นจากกฎของกาลเวลาและเทศะได้

   เวตาลจะมีความสามารถพิเศษเรื่องการรับรู้ถึงเรื่องประหลาดที่เกี่ยวข้องกับกาลเวลา ทั้งอดีต ปัจจุบัน หรืออนาคตได้  อีกทั้งยังสามารถหยั่งรู้ถึงใจตนเองได้ ด้วยความสามารถดังกล่าว จึงทำให้หมอผีหลายคนต้องการตัวเวตาล เพื่อบังคับเอาไว้ใช้เป็นทาสได้
   มีตำนานหนึ่งกล่าวเอาไว้ว่า เคยมีหมอผีทูลบอกให้พระเจ้าวิกรมาทิตย์ออกไปตามล่าเวตาล ที่อาศัยอยู่ที่ใจกลางของสุสานบนต้นไม้ใหญ่ ซึ่งเคล็ดลับที่จะช่วยจับเวตาลได้ ก็คือ ต้องไม่ทำเสียงดังทำ และห้ามเผลอพูดคำใดออกมา ไม่เช่นนั้น เวตาลจะไม่ยอมให้จับและหนีกลับไป
   ครั้นเมื่อพระเจ้าวิกรมาทิตย์สามารถจับตัวเวตาลได้ ก็มักถูกเวตาลแกล้งเล่านิทานให้ฟัง ซึ่งทุกครั้งนิทานจะจบลงด้วยคำถาม ที่ทำให้ต้องตอบคำถามนั้นทุกครั้งไป จนพระองค์ไม่สามารถอดทนต่อไปได้ สุดท้ายก็ไม่สามารถจับเวตาลได้ และมันก็กลับไปยังต้นไม้ต้นเดิม
เรื่องราวทั้งหมดของเวตาลถูกนักปราชญ์ชาวอินเดีย ที่มีนามว่า โสมเทวะ รวบรวมไว้ในหนังสือกถาสริตสาคร ที่เรียกว่า “เวตาลปัญจวิงศติ”
  มนุษย์หมาป่า Werewolf
    มนุษย์หมาป่า (Werewolf) เป็นผีประเภทเดียวกับพวกแวมไพร์ และมีอุปนิสัยชอบดื่มกินเลือดและเนื้อของสิ่งมีชีวิตทุกประเภท ชาวยุโรปในยุคกลางเชื่อว่า บุคคลที่มีเป็นมนุษย์หมาป่าจะกลายร่างจากมนุษย์ธรรมดาเป็นหมาป่าในคืนวันที่พระจันทร์เต็มดวง ซึ่งมนุษย์หมาป่าอาจจะแปลงร่างเป็นหมาป่าทั้งตัวหรือเป็นเพียงครึ่งตัวก็ได้ บางครั้งอาจแปลงร่างเป็นสัตว์ป่าชนิดอื่น เช่น หมี เป็นต้น ด้วยก็มี
ประวัติความเป็นมา
จะว่าไปแล้วประวัติความเป็นมาของมนุษย์หมาป่า ค่อนข้างจะลึกลับ ซับซ้อน แถมมีหลายข้อมูลจนชักสับสน บ้างก็ว่าเกิดจากการที่ผู้ที่ต้อง เวทมนต์คำสาปจนต้องกลายเป็นมนุษย์หมาป่า บ้างว่าโดนหมาป่าปีศาจ เข้าสิง บ้างก็ว่าสืบเชื้อสายมาจากบรรพบุรุษ คล้ายกับโรคติดต่อทาง กรรมพันธุ์ คือคนในตระกูลนี้ เมื่อถึงคืนพระจันทร์เต็มดวง จะต้องกลาย ร่างเป็นหมาป่าออกอาละวาด สร้างความอกสั่นขวัญผวาน่าสะพรึงกลัว ส่วนคืนอื่นๆ ก็จะเป็นเหมือนคนปกติทั่วๆไป
บางตำนานบอกว่า มนุษย์บางคนใช้ตัวยาชนิดหนึ่งช่วยในการเปลี่ยน แปลงตัวเองให้เป็นมนุษยืหมาป่า ตัวยาสมุนไพรนั้นเรียกว่า สารพลังหมาป่า ( Wolf Spirit ) อันประกอบด้วยไขมันจากเลือดแมวที่ถูกฆ่าใหม่ๆ และฝิ่น ซึ่งสามารถทำให้ผู้ใช้ตัวยาชนิดนี้สามารถกลายร่างเป็นมนุษย์หมาป่าได้ ในเวลากลางคืนหลังอาทิตย์ตกดินไปแล้ว และกลับคืนร่างสู่มนุษย์ได้ ในเวลากลางวัน
ลักษณะของมนุษย์หมาป่า
ตอนเป็นมนุษย์ก็จะเหมือนกับชาวบ้านทั่วๆไป อย่างที่กล่าวมาแล้ว ส่วนใหญ่จะเป็นชายหนุ่มรูปหล่อ ไม่ค่อยมีมนุษย์หมาป่าตัวเมีย ออกอาละวาดให้เห็นนัก ทั้งในจอภาพยนต์และละครโทรทัศน์ เรื่องราวเกี่ยวกับหมาป่าที่เป็นกัน คือเมื่อถึงคืนพระจันทร์เต็มดวงก็จะ กลายเป็นมนุษย์หมาป่าและเมื่อกลับเป็นมนุษย์ก็จะจำเรื่องราวตอนเป็นหมาป่าไม่ได้เลย ใต้ผิวหนังของพวกมนุษย์หมาป่าก็จะมีชั้น ของขนซ่อนอยู่ และจะกลับผิวหนังด้านในออกมาเมื่อแปลงร่างเป็นหมาป่า ส่วนบางตำนานบอกว่า มันจะถอดวิญญาณออกมา และกลาย ร่างเป็นมนุษย์หมาป่า ส่วนร่างนั้นจะเก็บซ่อนไว้ และวิญญาณก็จะกลับมาเข้าร่างเมื่อต้องการเป็นมนุษย์ธรรมดา มีผู้สันนิษฐานว่าตัวยาของฝิ่นทำให้มีใช้ยาพลังหมาป่ามีสติเลอะเลือน จนคิดว่าเป็นมนุษย์หมาป่าจริงๆ และออกอาละวาด หรือประกอบ อาชญากรรมอันสยดสยองและมีชื่อเรียกโรคป่วยทางจิตชนิดนี้ว่า Lycanthropy ไลแคนโทรฟี หรือจะเห็นได้ในภาพยนต์หลายเรื่อง ที่เรียกมนุษย์หมาป่าว่าพวก ไลแคน อย่างเช่นเรื่อง Underworld
ตำนานของมนุษย์หมาป่าของเทพนิยายนอร์เวย์ ในตำนานแรคน่าร็อค เล่าว่า เทพโลกิ Loki ละเมิดกฎสวรรค์โดยมี บุตรกับนางยักษ์ อองคะโบต้า Angrboda คือหมาป่า เฟนเรอ Fenrir จึงนำไปฝากโอดีน Odin ช่วยเลี้ยงดู เมื่อเฟนเรอ รู้ความจริงจึงเกิด ความไม่พอใจ นับแต่นั้นมามนุษยืหมาป่าก็เป็นปฎิปักษ์กับมนุษย์ตลอดมา
การล่ามนุษย์หมาป่าในอดีต

ในปี ค.ศ.1767 กองกำลังทหารของพระเจ้าหลุยส์ที่ 15 สามารถจัดการกับเจ้าสัตว์ประหลาด ที่มีลักษณะคล้ายกับมนุษยืหมาป่า ได้สำเร็จ หลังจากชาวบ้านที่อาศัยอยู่ในเมือง เลอ เกอวูดอง ทางตอนใต้ของฝรั่งเศษ ได้ร้องเรียนขอความช่วยเหลือ คณะตามล่า ต้องใช้เวลาอยู่หลายปี และย้อนหลังไปในยุคศตวรรษที่ 15 ได้มีการจับกุ่มผู้ที่ฆ่าเหยื่อของตนเองยังอยู่ในร่างของคนธรรมดา แต่นำอวัยวะแขนขาของศพมากัดแทะกินราวกับหมาป่า ซึ่งพวกเขาเหล่านี้บอกว่าทำไปโดยไม่รู้ตัว
 เทพเฮอร์เมส เทพแห่งการสื่อสาร
     เมอร์คิวรี่ (Mercury) หรือ เฮอร์มีส (Hermes) เป็นเทพบุตรผู้เป็นลูกของซูสเทพบดี กับ นางมาย หรือ เมยา (Maia) เฮอร์มีสเป็นเทพที่โด่งดังและเป็นที่รู้จักกันอย่างมาก และมักเห็นรูปของเธอปรากฏบ่อยครั้งมากกว่าเทพองค์อื่น ๆ ผู้คนมักจะนำเอารูปของเทพองค์นี้ หรือของวิเศษอย่างใดอย่างหนึ่งของเธอ เช่น เกือกมีปีก เป็นต้น มาเป็นสัญลักษณ์เครื่องหมายที่บ่งบอกความเร็ว ซึ่งนอกจากเกือกติดปีกแล้ว ยังมีหมวกติดปีก และไม้ถืออันศักดิ์สิทธิ์ติดปีก ซึ่งแสดงถึงว่า เธอนั้นสามารถ “ไปได้เร็วเพียงความคิด” ทีเดียว
    ‘เพตตะซัส (Petasus)’ คือ หมวกมีปีก ส่วน ‘ทะเลเรีย (Talaria)’ คือ เกือกมีปีกของเฮอร์มีส ซึ่งเป็นสิ่งของที่เฮอร์มีสได้รับประทานมาจากซูสเทพบิดา ซึ่งโปรดให้เธอทำหน้าที่เป็นเทพผู้สื่อสารประจำพระองค์ ส่วน ‘กะดูเซียส (Caduceus)’ ก็คือไม้ถือศักดิ์สิทธิ์ ที่เดิมทีแล้วเป็นของเทพอพอลโลที่มีไว้ใช้สำหรับต้อนวัวควาย เพราะครั้งหนึ่งเฮอร์มีสได้ไปขโมยวัวของอพอลโลไปซ่อน เมื่ออพอลโลเกิดระแคะระคายสงสัยก็มาทวงถามให้เฮอร์มีสคืนวัวให้แก่เธอ แต่เฮอร์มีสที่ยังอยู่ในวัยเยาว์กลับย้อนถามอย่างหน้าตาเฉยว่า วัวอะไรที่ไหนกัน เธอนั้นไม่เคยเห็น และไม่เคยได้ยินมาก่อน ทำให้อพอลโลต้องนำความไปฟ้องต่อเทพบิดาซูส เพื่อให้พระงองค์ช่วยไกล่เกลี่ยคืนวัวให้แก่ตนเจ้า หลังจากที่อพอลโลได้วัวคืนตามต้องการแล้ว ก็ไม่ได้จะถือเอาความต่อเทพผู้น้องแต่อย่างไร แม้ว่าวัวของอพอลโลจะขาดหายไป 2 ตัว เนื่องจากเฮอร์มีสนำไปทำเครื่องสังเวยก็ตาม อพอลโลเห็นว่าเฮอร์มีสนั้นมีพิณคันหนึ่งที่เรียกว่า ไลร์ (lyre) ซึ่งเป็นของประดิษฐ์ที่เฮอร์มีสทำขึ้นมาเองจากกระดองเต่า อพอลโลก็เกิดความอยากได้ จึงได้นำเอาไม้กะดูเซียสของตนไปแลกกับพิณของเฮอร์มีส ทำให้ไม้ถือกะดูเซียสกลายเป็นสมบัติและเป็นสัญลักษณ์ของเฮอร์มีสนับตั้งแต่ครั้งนั้นมา ซึ่งเดิมทีแล้ว ไม้กะดูเซียสนี้เป็นไม้ถือที่มีปีกลุ่น ๆไม่มีการตกแต่งอันใด  แต่ต่อมา เมื่อเฮอร์มีสถือไม้ไปพบงู 2 ตัวที่กำลังต่อสู้กัน เธอจึงนำเอาไม้กะดูเซียสทิ่มเข้าไประหว่างกลาง เพื่อห้ามไม่ให้งูทั้งสองวิวาทกัน แต่งูนั้นได้เลื้อยขึ้นมาพันอยู่กับไม้ และหันหัวเข้าหากัน ซึ่งนับแต่นั้นเป็นต้นมางูทั้งสองตัวนี้ ก็พันอยู่คู่กับไม้ถือกะดูเซียสตลอดไป อีกทั้งเรื่องเล่านี้ก็ยังทำให้ไม้ถือกะดูเซียสกลายเป็นสัญลักษณ์แห่งความเป็นกลาง รวมไปถึงถูกใช้เป็นสัญลักษณ์ทางการแพทย์มาตั้งแต่อดีตจนถึงปัตจุบันนี้ด้วยหน้าที่ของเฮอร์มีสไม่ได้เป็นเพียงเทพพนักงานที่ช่วยสื่อสารของเทพซูสเท่านั้น แต่เทพเฮอร์มีสยังเป็นเทพครองการเดินทาง การพาณิชย์ และการตลาด ที่เหล่าหัวขโมยนับถือบูชากันด้วย เพราะว่า เฮอร์มีสเคยขโมยวัวของอพอลโลตามที่เล่าเอาไว้ข้างต้น  เฮอร์มีสยังมีหน้าที่เป็นมัคคุเทศก์ที่จะนำพาวิญญาณคนตายลงไปสู่ยมโลก จนได้รับสมญานามอีกชื่อหนึ่งว่า “เฮอร์มีสไซโคปอมปัส (Hermes Psychopompus)”  หรืออาจกล่าวได้ว่า เฮอร์มีสถือเป็นคนกลางในการสื่อสารหรือประกอบกิจการต่างๆทุกประการ ทุกๆอย่างจึงอยู่ภายใต้การสอดส่องดูแลของเฮอร์มีสทั้งสิ้น
     แต่มีสิ่งหนึ่งที่น่าแปลกใจในตัวของเฮอร์มีส ก็คือ ถึงแม้ว่าเฮอร์มีสจะเป็นโอรสของซูสเทพบดีกับนางเมยา (Maia) ซึ่งเป็นเพียงแค่อนุภรรยา แต่เฮอร์มีสก็ทรงเป็นโอรสเพียงองค์เดียวของซูส ที่เทวีฮีร่าไม่ทรงรู้สึกเกลียดชัง ในทางตรงข้าม กลับเรียกหาให้เฮอร์มีสเข้ามาอยู่ใกล้ ๆ ด้วยอย่างบ่อยครั้ง ทั้งนี้ก็คงเป็นเพราะนิสัยและบุคลิกของเทพเฮอร์มีสที่มีใจรักในการช่วยเหลือทุกคน ไม่ว่าจะเป็นทวยเทพหรือแม้แต่มนุษย์ธรรมดา ดั่งที่ครั้งหนึ่งเฮอร์มีสเคยได้มีโอกาสช่วยปราบยักษ์ร้ายฮิปโปไลตุล หรือช่วยเทพซูสผู้เป็นบิดาให้พ้นจากการทำร้ายของยักษ์ไทฟีอัส อีกทั้งยังช่วยอนุองค์หนึ่งของเทพบิดาที่ชื่อว่า นางไอโอ ให้รอดจากความตายจากการถูกสังหารของอาร์กัสที่อสูรพันตาของเจ้าแม่ฮีร่า หรือการช่วยเหลือเลี้ยงดูไดโอนิซัสตั้งแต่แรกเกิด ส่วนในด้านการช่วยเหลือมนุษย์ เฮอร์มีสก็ไม่ขาดตกบกพร่อง เพราะเธอเคยช่วยเหลือเปอร์ซีอุสจากการถูกนางการ์กอนเทดูซ่าสังหาร  ช่วยเหลือเฮอร์คิวลิสเมื่อตอนที่ต้องเดินทางสู่แดนบาดาล อีกทั้งยังช่วยเหลือโอดีสซีอัสให้รอดพ้นจากการถูกนางเซอร์ซีทำร้าย และช่วยเหลือให้เตเลมาดุสสามารถตามหาบิดาของตนจนพบ เป็นต้น

     แต่เฮอร์มีสก็ยังมีนิสัยบางอย่างเช่นเดียวกับเทพบุตรองค์อื่น ๆ ตรงที่ไม่ได้ยกย่องหญิงผู้ใดมาเป็นชายาของตนแบบเป็นทางการ ได้แต่สมัครรักใคร่หญิงงามต่างๆนานาไปทั่วแบบนับไม่ถ้วน มีเรื่องเล่าว่า เฮอร์มีสชอบเสด็จลงไปในแดนบาดาลอยู่บ่อย ครั้ง เพราะเธอแอบไปหลงเสน่ห์ของเทวีเพอร์เซโฟนี ผู้เป็นชายาของเทพฮาเดส จ้าวแดนบาดาลนั่นเอง ส่วนความรักกับหญิงที่เป็มนุษย์ ก็พบว่าเฮอร์มีสก็มีรักร่วมกับสตรีมนุษย์มากมายเช่นกัน  เช่น อคาคัลลิส (Acacallis) ผู้เป็นธิดาของท้าวไมนอสแห่งกรุงครีต เป็นต้น และเมื่อเฮอร์มีสเดินทางขึ้นไปสู่สวรรค์โอลิมปัสก็ได้ไปเกิดหลงรักกับเทวีเฮเคตี และเทวีอโฟร์ไดที่ ในทำนองรักข้ามรุ่น
  เซนต์วาเลนไทน์ (Valentine)
         วันวาเลนไทน์ กำเนิดขึ้นมาในกรุงโรม หรืออาณาจักรโรมัน ตั้งแต่ศตวรรษที่ 3 ในช่วงยุคของจักรพรรดิคลอดิอุส ที่สอง (Claudius II) เดิมทีจักรพรรดิคลอดิอุสมีนิสัยชอบข่มเหงรังแกผู้อื่น เขามักบังคับให้ชาวโรมันทุกคนต้องสักการะพระเจ้าทั้ง 12 องค์ ใครคิดต่อต้านจะได้รับทำโทษ นอกจากนี้ ยังห้ามไม่ให้เกี่ยวข้องกับพวกคริสเตียนด้วย ทั้งนี้ มีนักบุญผู้หนึ่งที่ชื่อว่า วาเลนตินุส (Valentinus) เขาเกิดความเลื่อมใสศรัทธาต่อพระคริสเป็นอย่างมาก ถึงขนาดให้คำไว้ว่า ความตายหรือสิ่งใดไม่มีทางเปลี่ยนแปลงความคิดของเขาได้ ด้วยการต่อต้านครั้งนี้ จึงทำให้เขาถูกขังคุก
          ก่อนที่เขาสิ้นชีวิต ในช่วงอาทิตย์สุดท้ายได้เกิดสิ่งแปลกประหลาดขึ้นกับเขา โดยขณะที่กำลังถูกคุมขังอยู่นั้น ผู้คุมขังได้ร้องขอให้วาเลนตินุสช่วยสอนจูเลียผู้เป็นลูกสาวที่ตาบอดตั้งแต่เกิด แม้ว่าจูเลียจะเป็นหญิงงาม แต่ก็อาภัพมองไม่เห็น วาเลนตินุสจึงได้สอนประวัติศาสตร์ สอนการคิดคำนวณ และเล่าเรื่องพระเจ้าให้เธอฟัง ด้วยความฉลาดของจูเลีย เธอจึงสามารถรับรู้สิ่งต่าง  ในโลกนี้ได้อย่างถ่องแท้  และเธอก็รู้สึกเชื่อใจในตัววาเลนตินุส และมีความสุขอย่างมากเมื่ออยู่กับเขา
         วันหนึ่ง จูเลียเอ่ยถามวาเลนตินุสว่า หากเราอธิษฐานต่อพระผู้เป็นเจ้า ท่านจะทรงได้ยินเราไหม” วาเลนตินุสจึงตอบไปว่า พระองค์เจ้าได้ยินเราทุกคนแน่นอน” จูเลียจึงกล่าวต่อว่า ท่านทราบหรือไม่ ในทุก  เช้า ทุก  เย็น ข้าทูลอธิษฐานขออะไร….ข้าต้องการอยากจะมองเห็นโลกใบนี้ และเห็นทุก ๆอย่างที่ท่านเล่าให้ฟัง” วาเลนตินุสจึงตอบกลับไปว่า พระเจ้าย่อมมอบแต่สิ่งที่ดีที่สุดให้แก่ทุกคน แต่ต้องมีความเชื่อมั่นในพระองค์เท่านั้นเอง
          ด้วยความเชื่อมั่นในพระผู้เป็นเจ้า จูเลียจึงนั่งคุกเข่าและกุมมืออธิษฐานขอพรไปพร้อมๆกับวาเลนตินุส และในขณะนั้นเอง ก็เกิดสิ่งมหัศจรรย์ขึ้น มีแสงสว่างลอดเข้ามาในคุก และเมื่อจูเลียค่อย ๆลืมตาขึ้น เธอก็สามารถมองเห็นได้!!!!! ทั้งสองกล่าวขอบคุณในเรื่องมหัศจรรย์ที่พระเจ้ามอบให้ และเรื่องนี้ก็เป็ที่พูดถึงกันไปทั่วทั้งราชอาณาจักร
ในราตรีก่อนที่วาเลนตินุสจะเสียชีวิตจากการถูกตัดศีรษะ เขาได้ส่งจดหมายฉบับสุดท้ายให้แก่จูเลีย ซึ่งลงท้ายจดหมายว่า “From Your Valentine” วาเลนตินุสเสียชีวิตในวันที่ 14 กุมภาพันธ์ .. 270 และศพของวาเลนตินุสถูกเก็บไว้ในโบสถ์พราซีเดส (Praxedes) ที่กกรุงโรม ใกล้หลุมศพนั้น จูเลียได้ปลูกต้นอามันต์ หรืออัลมอลต์สีชมพู เอาไว้เพื่อมอบแต่วาเลนตินุสผู้เป็นที่รัก จนทุกวันนี้ ต้นอามันต์สีชมพูจึงกลายเป็นตัวแทนแห่งความรักนิรันดร์และมิตรภาพอันแสนยาวนาน