วันจันทร์ที่ 6 มีนาคม พ.ศ. 2560

เทพฮีฟีสทัส (Hephaestus) เทพแห่งช่างและโลหะ
ฮีฟีสทัส (Hephaestus) หรือ วัลแคน เป็นเทพโอลิมเปียนผู้ครองการช่างโลหะ เทพองค์นี้มีประวัติความเป็นมาแตกต่างกันเป็น 2 นัย ดังว่าไว้ว่า นัยที่หนึ่ง กล่าวกันว่า ฮีฟีสทัสเป็นเทพบุตรของเจ้าแม่ฮีราและเทพปรินายกซูสโดยตรง ใรขณะที่อีกนัยหนึ่งกล่าวว่า ฮีฟีสทัสเกิดจากเจ้าแม่ฮีรา แต่เป็นการผุดออกมาจากเศียรของเจ้าแม่เพียงลำพังตนเอง คล้ายๆกับกรณีของเทวีเอเธน่า ทั้งนี้ก็เนื่องด้วยความต้องการของเจ้าแม่ฮีราที่ต้องการจะแก้ลำซูสในการกำเนิดของเทวีเอเธน่า เพื่อแสดงให้เทพทั้งหลายทราบว่า หากซูสสามารถให้กำเนิดเทวีเอเธน่าได้ เจ้าแม่ฮีร่าก็สามารถทำให้ฮีฟีสทัสเกิดเองได้เองเช่นกัน
แม้ว่าแหล่งกำเนิดของเทพฮีฟีสทัสจะเป็นอย่างไรก็ตาม ก็ต้องถือเอาว่าฮีฟีสทัสถือเป็นเทพบุตรของซุสด้วยเช่นกัน จะเห็นได้ว่า ฮีฟีสทัสติดและเข้ากับแม่ได้มากกว่าพ่อ และทุกครั้งที่พ่อกับแม่ทะเลาะกันตามประสาที่เทพซูสเจ้าชู้ หรือเจ้าแม่ฮีร่าขี้หึง ก็จะมีฮีฟีสทัสเข้าข้างฝ่ายแม่อยู่ตลอด ในครั้งหนึ่งที่ซูสต้องการจะลงโทษเจ้าแม่ฮีราให้เข็ดหลาบโดยการใช้โซ่ทองล่ามแขวนเจ้าแม่เอาไว้กับกิ่งฟ้าและห้อยโตงเตงลงมา ฮีฟีสทัสก็ทนดูไม่ได้และรีบเข้าช่วยแก้ไขโซ่ให้เจ้าแม่ทันทีเพื่อจะทำให้เจ้าแม่เป็นอิสระ ทำให้ซูสเกิดโมโหและบันดาลโทสะจับฮีฟีสทัสโยนลงมาจากสวรรค์ ซึ่งทำให้ฮีฟีสทัสต้องตกจากสวรรค์เป็นเวลานานถึง 9 วัน 9 คืน
ฮีฟีสทัสตกลงมาที่มนุษย์โลก ณ บริเวรเกาะเลมนอสในทะเลเอจีน และเพราะโดนบิดาขว้างลงมาจึงทำให้บาทของเธอแปเป๋ไปข้างหนึ่งและกลายเป็นคนพิการตั้งแต่บัดนั้นเป็นต้นมา เหตุเพราะเธอต้องการจะช่วยเหลือมารดานั่นเอง แต่ก็ไช่ว่าเจ้าแม่ฮีราผู้เป็นมารดาจะเหลียวแลเธอไม่ เพราะด้วยความที่ฮีฟีสทัสเป็นเทพบุตรที่กำเนิดขึ้นมาจากความโทมนัสอย่างแสนสาหัส ทำให้เจ้าแม่แสดงความเฉยเมยต่อฮีฟีสทัส ทำให้ฮีฟีสทัสตั้งปณิธานในจิตว่าจะไม่กลับขึ้นไปเหยียบบนเขาโอลิมปัสอีก และได้สร้างวังเพื่อเป็นที่ประทับอยู่ ณ เกาะเลมนอสแห่งนั้น พร้อมกัมได้ตั้งโรงหล่อเพื่อให้กำเนิดช่างฝีมือประกอบโลหะนานาชนิด โดยฮีฟีสทัสมีลูกมือเป็นพวกยักษ์ไซคลอปส์ อีกทั้งยังสร้างบัลลังก์ทองคำที่เปล่งปลั่งไปด้วยลวดลายที่สลักเสลาอย่างสวยงามหาที่เปรียบมิได้ขึ้นมาตัวหนึ่ง ซึ่งบัลลังก์แห่งนี้เป็นบัลลังก์กลที่ประกอบไปด้วยลานกลไกซ่อนอยู่ภายใน จากนั้นจึงได้ส่งบัลลังก์อันนี้ขึ้นไปถวายต่อเจ้าแม่ฮีรา เมื่อเจ้าแม่ได้เห็นก็รู้สึกยินดีในรูปลักษณ์อันแสนงดงามของบัลลังก์กลเป็นอย่างมาก และตระหนักได้ว่าเป็นบัลลังก์ที่บุตรของตนทำขึ้นถวาย เมื่อเจ้าแม่ฮีร่าขึ้นประทับบนบังลังก์ เครื่องกลไกที่แอบซ่อนอยู่ภายใต้บัลลังก์ก็ดีดกระหวัดรัดองค์เจ้าแม่จนแน่นตรึงติดกับบัลลังก์อย่างมั่นคง และทำให้เจ้าแม่ไม่สามารถขยับเขยื้อนองค์ได้เลยแม้แต่น้อย และแม้ว่าเทพทั้งปวงจะมาช่วยกันแก้ไขปัญหา ต่างก็พากันจนปัญญาเพราะยังไม่เห็นหนทางที่จะปลดเปลื้องพันธนาการครั้งนี้ให้หลุดออกได้เลย
ทำให้เฮอร์มีส เทพผู้มีลิ้นทูต ต้องเป็นเทพผู้อาสามาไกล่เกลี้ยความ เฮอร์มีสอ้อนวอนขอให้ฮีฟีสทัสช่วยขึ้นไปแก้ไขกลไกที่ฮีฟีสทัสทำไว้ แต่ ลิ้นทูตของเฮอร์มีสครั้งนี้ไม่สามารถใช้กับฮีฟีสทัสได้ เพราะไม่ว่าเธอจะหว่านล้อมฮีฟีสทัสด้วยคำไพเราะสักเพียงใด ก็ไม่อาจเปลี่ยนใจฮีฟีสทัสให้กลับขึ้นไปบนเขาโอลิมปัสได้เลย ทำให้ทวยเทพต้องร่วมประชุมปรึกษากันอีกครั้งหนึ่ง และเล็งเห็นตรงกันว่าคงจะมีเพียงเทพไดโอนิซัสท่านั้นที่น่าจะพอช่วยได้ เทพทั้งหลายจึงพร้อมใจกันส่งไดโอนิซัสลงมาเกลี้ยกล่อมเทพฮีฟีสทัสหลงกลด้วยอุบาย วิธีการที่ไดโอนิศัสใช้ก็คือ การมอมฮีฟีสทัสด้วยน้ำองุ่นจนทำให้ฮีฟีสทัสมึนเมา จากนั้นไดโอนิซัสก็ลอบพาฮีฟีสศัสขึ้นไปที่สวรรค์เพื่อกลับไปแก้เครื่องกลพันธนาการที่ทำไว้กับเจ้าแม่ฮีราได้จนสำเร็จ นอกจากนี้ เทพไดโอนิศัสยังช่วยไกล่เกลี่ยให้เทพีฮีร่าและเทพฮีฟีสทัสเข้าอกเข้าใจกันอีกครั้งด้วย
แม้ว่าฮีฟีสทัสจะได้รับการยกย่องเทียมเท่าเทพองค์อื่น ๆ ในคณะเทพโอลิมเปียน แต่ฮีฟีสทัสก็ยังไม่ยินยอมที่จะกลับขึ้นไปอยู่บนเขาโอลิมปัสอีกครั้ง แต่ฮีฟีสทัสจะขึ้นไปก็ต่อเมื่อมีการนัดประชุมเทพสภาเฉพาะกิจและในวาระอื่น ๆที่สำคัญเท่านั้น ส่วนในเวลาปกติ ฮีฟีสทัสจะเก็บตัวเองอยู่ในโรงหล่อ และหมกมุ่นกับงานช่างฝีมือของเธอตลอดเวลา ทำให้เทพฮีฟีสทัสเปรียบเป็นพระเวสสุกรรมของกรีกที่สำคัญองค์หนึ่ง เห็นได้จากการสร้างวังที่ประทับของเทพแต่ละองค์บนเขาโอลิมปัสนั้น ก็เป็นงานฝีมือของพนักงานของเทพฮีฟีสทัสแทบทั้งสิ้น อีกทั้ง เทพฮีฟีสทัสยังเป็นผู้ออกแบบตกแต่งตำหนักต่าง ๆภายในที่ประทับ โดยการใช้โลหะประดับมณีที่ดูแวววาวจับตาสวยงามเป็นที่สุด และเขาก็ได้ประกอบอสนีบาตเพื่อเป็นอาวุธถวายแก่ซูส รวมถึงเป็นผู้สร้างศรรักให้แก่อิรอสด้วย
กิจกรรมวันวิชาการ หนึ่งห้องเรียน หนึ่งธุรกิจ








วันอาทิตย์ที่ 5 มีนาคม พ.ศ. 2560

เทพแพน (Pan) เทพแห่งธรรมชาติ
ในบรรดาเทพทั้งหลายในวงศ์โอลิมเปี้ยน มีเทพอยู่องค์หนึ่งที่มีลักษณะไม่เหมือนกับทวยเทพองค์อื่นๆ เพราะเทพองค์นี้มีร่างกายที่เป็นกึ่งมนุษย์กึ่งสัตว์ เธอมีชื่อว่า เทพแพนนั่นเอง อย่างไรก็ตาม เทพองค์ดังกล่าวก็ยังได้รับการยอมรับว่าเป็นเทพองค์หนึ่งในสวรรค์ชั้นโอลิมปัส
แพน (Pan) เป็นเทพผู้เป็นหลานของซูสเทพบดี เพราะเธอเป็นโอรสของเทพเฮอร์มีส กับนางพรายน้ำตนหนึ่ง ว่ากันว่า แพนเป็นเทพแห่งทุ่งโล่งและดงทึบ หรืออาจเรียกว่าเป็น เทพแห่งธรรมชาติทั้งปวงก็ได้ นอกจากนี้ คำว่า แพนในภาษากรีกก็ยังมีความหมายว่า “All” ที่แปลถึงทั้งหลายหรือทั้งปวงนั่นเอง
หากกล่าวถึงรูปลักษณ์ของเทพองค์นี้ ก็พบว่ามีรูปร่างที่ผิดแปลกไปจากเทพองค์อื่น ๆ ที่มักจะมีรูปสวยสง่างาม  เทพแพนเป็นเทพที่มีลักษณะผสมระหว่างมนุษย์กับสัตว์ โดยเทพแพนมีร่างกายและหน้าตาที่เป็นมนุษย์ แต่อวัยวะท่อนล่างกลับเป็นแพะ อีกทั้งยังมีเขาปรากฎอยู่บนศีรษะและมีหนวดเคราเช่นแพะด้วย
ตำนานเล่าเกี่ยวกับประวัติของเทพแพนไว้น่าสนใจยิ่ง กล่าวคือ เมื่อครั้งหนึ่งที่แพนได้ไปพบเห็นนางพรายน้ำตนหนึ่งที่มีชื่อว่า ไซรินซ์ (Syrinx) เข้า แพนก็เกิดความรู้สึกถูกชะตาและถูกใจเป็นอย่างมาก แพนจึงติดตามพรายน้ำตนนั้นไปด้วยความรัก แต่นางพรายน้ำตนนั้นกลับไม่ยินดีที่จะร่วมรักด้วย เนื่องจากเกรงกลัวในรูปร่างแปลกประหลาดของเทพแพน นางพรายน้ำจึงวิ่งหนีเตลิดไป แพนก็เองก็ยังไม่ลดละความพยายาม และออกไล่ตามหานางพรายน้ำจนมาถึงริมน้ำ เมื่อนางพรายน้ำเห็นว่าน่าจะหนีเทพแพนไม่พ้น จึงได้ตะโกนออกไปเพื่อขอความช่วยเหลือจากเทพแห่งท้องธาร
คำร้องของนางพรายน้ำสัมฤทธิ์ผล เพราะเทพแห่งท้องธารรู้สึกสงสารในตัวนาง จึงได้ดลบันดาลให้นางพรายน้ำกลายเป็นต้นอ้อที่ประดับอยู่ ณ ริมฝั่งน้ำ เมื่อเทพแพนมาถึงที่บริเวณนี้และได้รู้ความจริงว่านางพรายน้ำคิดจะปฏิเสธตนเช่นนี้ ก็รู้สึกโศกเศร้าเป็นหนักหนา เทพแพนจึงได้ตัดเอาต้นอ้อต้นนั้น มามัดเข้าด้วยกัน และใช้เป็นเครื่องดนตรีเพื่อเป่าบรรเลงอย่างไพเราะสืบมา

ตำนานแวมไพร์

 

           ตำนานแวมไพร์ ผีดิดูดเลือดซึ่งได้เล่าต่อกันมาอย่างยาวนาน
    เรื่องราวของแวมไพร์ เป็นเรื่องราวที่มีการบอกเล่าต่อกันมานานหลายร้อยปี และปรากฏอยู่ในตำนานของหลายประเทศทั่วโลก มีลักษณะแตกต่างกันไปในแต่ละพื้นที่ เช่น แวมไพร์ตามตำนานเม็กซิโกจะมีกระโหลกมนุษย์วางอยู่บนศีรษะ แวมไพร์แถบเทือกเขาร็อกกี้จะดูดเลือดทางจมูก แวมไพร์ตามตำนานโรมาเนียจะมีร่างกายผอมซีดและไว้เล็บยาว เป็นต้น 
          1. แวมไพร์เป็นผีดิบในร่างของมนุษย์ มีฟันแหลมคม ดื่มเลือดมนุษย์เป็นอาหารเพื่อหล่อเลี้ยงให้มีชีวิตเป็นอมตะ ไม่มีวันตาย
          2. แวมไพร์ถูกนำมาเปรียบเทียบเป็นมนุษย์ค้างคาวผีดิบ เนื่องจากแวมไพร์หากินกลางคืนต่างจากสัตว์ชนิดอื่น ดังนั้น เมื่อกล่าวถึงแวมไพร์ ก็มักจะนึกถึงผีดิบผิวซีดในชุดสีดำคล้ายค้างคาว
          3. ในตอนกลางวันแวมไพร์จะนอนนิ่งอยู่ในโลงศพ ในสภาพที่ตาข้างหนึ่งเปิดอยู่ มีเลือดติดอยู่ตามปากหรือจมูก
          4. ในตอนกลางคืนแวมไพร์จะออกหาเหยื่อ เพื่อดูดเลือดบริเวณคอของเหยื่อ โดยเหยื่อมักจะเป็นเพศตรงข้ามเสมอ
          5. แวมไพร์ ถ่ายทอดเชื้อสายด้วยการกัด แต่ผู้ที่ถูกกัดทุกคนอาจเสียชีวิตและไม่ได้ถูกปลุกขึ้นมาเป็นแวมไพร์ตัวใหม่ก็ได้
          6. ศพของแวมไพร์จะไม่เน่าเปื่อย ไม่ว่าเวลาจะผ่านไปนานเพียงใด ใบหน้าจะยังดูมีเลือดไหลเวียนอยู่ตลอดเวลา เพราะได้เลือดของเหยื่อหล่อเลี้ยงไว้
          7. แวมไพร์ สามารถสยบได้ด้วยกระเทียม ซึ่งเป็นพืชที่มีกลิ่นฉุนมาก หรือไม้กางเขน และน้ำมนต์
       ในแถบประเทศตะวันตก แวมไพร์ เริ่มเป็นที่รู้จักครั้งแรกในประเทศอังกฤษ หลังจากมีการบันทึกในประวัติศาสตร์ว่า อาร์โนลด์ เปาเล ชาวเซอร์เบีย เป็นผู้ที่ได้รับการสืบเชื้อสายจากแวมไพร์ หลังจากที่เขากลับมาจากการปฏิบัติหน้าที่ทางการทหารในกรีซ และเขาก็ได้สารภาพกับภรรยาว่าถูกแวมไพร์ดูดเลือดและได้รับการถ่ายทอดเป็นแวมไพร์ ต่อมาไม่นานเขาได้เสียชีวิตลง แต่คนในหมู่บ้านยังเห็นเขาวนเวียนอยู่ในหมู่บ้านในยามค่ำคืน จึงมีการขุดเอาศพเขาขึ้นมาดูอีกครั้ง และพบว่า เขานอนนิ่งเป็นศพแต่กลับมีรอยเลือดติดอยู่ที่ปากของเขา ชาวบ้านจึงพิสูจน์ด้วยการตอกหมุดลงไปที่หัวใจ ปรากฎว่ามีเลือดไหลทะลักออกมาตามด้วยเสียงกรีดร้อง จากนั้นศพของเขาก็ถูกนำไปเผาและก็ไม่มีใครพบเขาปรากฎตัวในหมู่บ้านอีกเลยหลังจากนั้น แต่ต่อมาไม่นาน ก็พบแวมไพร์อีกหลายตัวอยู่ในหมู่บ้าน จึงเชื่อว่าแวมไพร์เหล่านั้นเป็นเชื้อสายของเปาเล และพวกเขาก็คงถูกเปาเลกัด ซึ่งพ้องกับสิ่งที่เปาเลได้เคยบอกภรรยาไว้ก่อนตาย


    แวมไพร์ที่มีชื่อเสียงมากที่สุดคือของหลักสูตรแดรกคิวลาแม้ว่าผู้ที่มองหาทางประวัติศาสตร์ "ของจริง" แดรกคิวลามักจะอ้างเจ้าชายโรมาเนีย Vlad Tepes (1431-1476) หลังจากที่ช่างไฟบอกว่าจะมีการสร้างแบบจำลองลักษณะบางอย่างของตัวละครของเขาแดรกคิวลา ลักษณะของ Tepes เป็นแวมไพร์ แต่เป็นตะวันตกอย่างเห็นได้ชัดหนึ่ง ในโรมาเนียเขาถูกมองว่าไม่เป็นซาดิสม์เลือดดื่ม แต่เป็นวีรบุรุษของชาติที่ปกป้องอาณาจักรของเขาจากออตโตมันเติร์ก


แวมไพร์คนส่วนใหญ่มีความคุ้นเคยกับ (เช่น Dracula) จะทรงฤทธิ์ - ศพของมนุษย์ที่จะกล่าวว่าจะกลับมาจากหลุมฝังศพจะเป็นอันตรายต่อการดำรงชีวิตแวมไพร์เหล่านี้มีต้นกำเนิดสลาฟเก่าเพียงไม่กี่ร้อยปี แต่อื่น  เก่ารุ่นของแวมไพร์ที่ไม่ได้คิดว่าจะเป็นมนุษย์ที่ทุกคน แต่เหนือธรรมชาติแทนอาจจะเป็นปีศาจหน่วยงานที่ไม่ได้ใช้รูปแบบของมนุษย์แมทธิว Beresford ผู้เขียน "จากปีศาจที่จะ Dracula: การสร้างโมเดิร์นแวมไพร์ตำนาน" (Reaktion 2008)บันทึก, "มีรากฐานที่ชัดเจนสำหรับแวมไพร์ในโลกโบราณที่มีและมันเป็นไปไม่ได้ที่จะพิสูจน์เมื่อตำนานแรก เกิดขึ้นมีข้อเสนอแนะว่าแวมไพร์เกิดออกมาจากเวทมนตร์ในอียิปต์โบราณเรียกปีศาจในโลกนี้จากบางส่วนอื่น  . " มีหลายรูปแบบของแวมไพร์จากทั่วโลก มีแวมไพร์เอเชียเช่นจีน Jiangshi (ออกเสียงจงชีวิญญาณชั่วร้ายที่โจมตีคนและท่อระบายน้ำพลังงานชีวิตของพวกเขาเลือดดื่มเทพโมโหที่ปรากฏใน "หนังสือทิเบตแห่งความตายและอื่น  อีกมากมาย
กีฬาสี โรงเรียนตราดสรรเสริญวิทยาคม
พิธีเปิดงานกีฬาสี รร ตราดสรรเสริญวิทยาคม โดยมีผู้อำนวยการเป็นผู้กล่าวเปิดงาน

แปลอักษรของโรงเรียน ถวายความอาลัยในหลวงรัชกาลที่๙
มีการแข่งขันกีฬาหลายประเภทเช่น ฟุตบอลหญิง ฟุตบอลชาย วอลเล่บอลหญิง วอลเล่บอลชาย บาสเกตบอล เป็นต้น และยังมีกีฬาพื้นบ้าน เช่น ชักกะเย่อ วิ่งกระสอบ เป็นต้น
เทพซีอุส (Zeus)
เทพแห่งเทพผู้ปกครองเทพทั้งหมด

    ตำนานกล่าวไว้ว่า เทพซีอุส เป็นบุตรคนสุดท้องของเทพ Cronos ผู้แข็งแกร่ง เมื่อตอนที่เทพ Cronos ต่อสู้กับ Uranus จนสามารถเอาชนะเทพผู้นี้ได้ ทำให้เทพซีอุสจำเป็นต้องสังหารเทพ Cronos ส่วน Rhea ผู้เป็นภรรยาของเทพ Cronos ก็ไว้ใจ Gaia ให้มาทำหน้าที่คอยปกป้องดูแลเขา ในขณะที่เทพ Cronos กำลังจะกลืนกินลูกของเธอทีละคนๆ ซึ่งเธอก็ได้ปกป้องเทพซีอุส ซึ่งเป็นลูกคนสุดท้องไว้ได้ และได้ส่งเขาให้ไปอาศัยอยู่กับนางไม้ Adrasteia และ Ida เทพซีอุสโดตมาด้วยการเลี้ยงดูด้วยนมแพะ Amaltheia
    เมื่อเทพซีอุส ก็ได้กลับมาต่อสู้กับพ่อตัวเอง โดยเขาได้รับการช่วยเหลือจาก Gaia อย่างดี จนทำให้เขาค่อยสำรอกเอาลูกๆ ที่เคยกลืนกินออกมาทีละคนๆ ซึ่งตอนนั้นพวกเขาก็ล้วนเติบโตขึ้นเป็นเทพ และเทพีแห่งโอลิมปัสกันแล้ว
ระหว่างการต่อสู้ของเทพซีอุสกับเทพ Cronos และ Titans ฝ่ายเทพซีอุสได้รับชนะ และได้กลายเป็นเจ้าแห่งเทพเจ้าในทันที ส่วนเทพ Cronos กับบรรดา Titan ของเขาต่าง ก็ถูกลงทัณฑ์โดยการกักขังเอาไว้ใน Tarturos แต่ Gaia ก็เกิดความไม่พอใจที่เทพซีอุสกล้ามาทำร้ายบรรดาไททันที่เป็นลูกของเธอ เธอจึงออกคำสั่งให้ Giants และ Typhon ออกไปต่อสู้กับเทพซีอุส แต่สุดท้ายก็ไม่สามารถทัดทานฝีมือของเขาได้ นับจากนั้นเป็นต้นมา Gaia จึงได้ยอมรับว่า เทพซีอุสถือเป็นเจ้าแห่งเทพเจ้าและมนุษย์อย่างเต็มตัว
    เทพซีอุส มีมเหสีชื่อว่า Hera และมีลูกๆออกมาทั้งหมด 4 คน ได้แก่ Ares (เทพเจ้าแห่งสงคราม) Eilethyia (เทพีแห่งการเกิด) Hebe (เทพีแห่งความเยาว์วัย) Hephaestus (เทพเจ้าแห่งงานช่าง) นอกจากนั้น เทพซีอุสยังมีความสัมพันธ์อันแสนลึกซึ้งกับเทพีองค์อื่นๆอีกมากมายหลายองค์
ตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน ชาวกรีซต่างให้การนับถือเทพซีอุส เป็นอย่างมาก เพราะเทพองค์นี้มีความสามารถเป็นที่สุด ส่วนชาวโรมันก็ได้มีการสร้างอนุสรณ์สถานเพื่อบูชาเทพซีอุส โดยมีชื่อว่า  Jupiter หรือ Jore มากไปกว่านั้น  ศิลปะสมัยโบราณมากมาย ก็มักจะมีการจารึกภาพวาดของเทพผู้นี้ในรูปร่างของชายหนุ่มที่มีร่างกายบึกบึน มีหนวดเครายาวรุงรัง และถือดาบสายฟ้าไว้ในมือ
   ส่วนสัตว์ที่คอยตามอารักขาก็มีหลากหลายชนิด เช่น นกอินทรีย์วัว และหงส์ อีกทั้งยังมีรูปปั้นทองคำของเทพซีอุสที่มีการประดับด้วยงาช้างไว้อย่างสวยสดงดงามด้วย ซึ่งผลงานชิ้นนี้เป็นผลงานแกะสลักของ Pheidias ที่ขึ้นชื่อว่าเป็นปฏิมากรชื่อดัง และถูกนำไปตั้งอยู่ในบริเวณวัดที่โอลิมปัส  และถึงแม้ว่ารูปปั้นรูปนี้จะไม่ได้ถูกจารึกเอาไว้ในประวัติศาสตร์ แต่ครั้งหนึ่งก็ถือว่าเคยเป็นหนึ่งในเจ็ดของสิ่งมหัศจรรย์ของโลกเช่นกัน
เทพอานูบิส (Anubis)
เทพแห่งความตายของชาวอียิปต์
อานูบิส (Anubisเป็นหนึ่งในเทพเจ้าของชาวอียิปต์ ซึ่งเทพเจ้าองค์นี้มีบทบาทสำคัญต่อการใช้ชีวิตของชาวอียิปต์อย่างยิ่ง ที่เป็นเช่นนี้เนื่องจาก อานูบิสเป็นเทพแห่งความตาย และเป็นเทพสำคัญในการทำมัมมี่ ในพิธีการทำศพของชาวอียิปต์โบราณ และโลกหลังความตายของมนุษย์ จึงมีเทพองค์นี้ประกอบอยู่ในเรื่องราวและมีส่วนเกี่ยวข้องเป็นอย่างมาก
     การนับถือเทพอานูบิสมีที่มาจากเมือง อาบิโดส (Abydos)ที่อยู่ทางตอนเหนือของอียิปต์แต่มีศูนย์กลางของความเชื่อดังกล่าวนี้อยู่ที่เมืองไซโนโปลิส (Cynopolis) ที่ตั้งอยู่ในอียิปต์ตอนเหนือ
เชื่อกันว่า พิธีกรรมการนับถือเทพอานูบิสมีมาอย่างยาวนานมากแล้ว และมีการสร้างรูปปั้นหมาในสีดำหรือสีทอง ขึ้นเพื่อเป็นตัวแทนของเทพองค์นี้อยู่บ้างด้วย ลักษณะของเทพอานูบิสเป็นเทพที่มีลำตัวเป็นมนุษย์ แต่มีส่วนศีรษะไปจนถึงคอเป็นหมาในสีดำ ซึ่งสันนิษฐานได้ว่าการที่ลักษณะของเทพอานูบิสมีใบหน้าเป็นหมาใน ก็เพราะสัตว์ชนิดนี้มักจะหากินในช่วงกลางคืน และพบได้บ่อยแถวๆสุสานของคนตาย ด้วยเหตุนี้ เทพอานูบิสจึงถูกชาวอียิปต์นับถือกันในนามเทพผู้พิทักษ์คนตายและสุสานนั่นเอง ส่วนอาวุธในมือของเทพอานูบิส เป็นคทา คนบางคนอาจเรียกเทพองค์นี้ว่า อันปุ (Anpu)

    เทพอานูบิสมีหน้าที่หลัก คือ การนำดวงวิญญาณของคนตายไปสู่ยมโลกทั้งนี้ก็เพื่อให้วิญญาณผู้นั้นได้รับผลกรรมที่ตนได้ทำเอาไว้ก่อนตาย ต่อหน้าองค์เทพโอซิริส (Osiris) โดยการตัดสินจะทำโดยเทพอานูบิสจะวางหัวใจของผู้ตายเอาไว้บนตาชั่งข้างหนึ่งและวางขนนกได้รับมาจากเทพมูอาท (Muat) เอาไว้ที่ตาชั่งข้างหนึ่ง หากหัวใจของผู้ตายมีน้ำหนักเบากว่าขนนก แสดงว่าผู้ตายเคยทำกรรมอันเป็นกุศลไว้มาตั้งแต่ตอนที่คนผู้นั้นยังมีชีวิตอยู่ ซึ่งสมควรที่จะได้รับพรให้มีชีวิตเป็นนิรันดร์จากเทพโอชิริส และเดินทางไปอยู่ในสถานที่ที่เรียกว่า Fields of the Reed” หรือสวรรค์ของชาวอียิปต์นั่นเองในทางตรงกันข้าม คนที่มีน้ำหนักของหัวใจมากกว่าขนนกก็จะถูกสัตว์ที่เป็นอสูรที่มีนามว่า อัมมุท (Ammut) กลืนกินหัวใจของดวงวิญญาณดวงนั้นเข้าไปทันที ทำให้ดวงวิญญาณดวงนั้นสูญสลายหายไปตลอดกาล และถือว่าเป็นการตายแบบถาวรที่ไม่สามารถฟื้นคืนชีพได้